10 Recommend Wine June 2025 Week 4
10 ไวน์แนะนำประจำสัปดาห์จาก Wine-Now.asia
สัปดาห์นี้ Wine-Now Sommelier ขอพาคุณเดินทางข้ามทวีปผ่านไวน์ 10 ขวดที่โดดเด่นทั้งเรื่องรสชาติ ต้นกำเนิด และเรื่องราวเบื้องหลัง ตั้งแต่ Bolgheri สุดหรูในอิตาลีไปจนถึงไร่องุ่นบนเนินเขาแห่ง Mendoza และความคลาสสิกเหนือกาลเวลาใน Pomerol
คุณจะได้พบกับ Orma by Tenuta Sette Ponti – Super Tuscan ที่เปี่ยมด้วยความเข้มข้นและความประณีต, Clarendelle Saint-Emilion Red ผลงานจากแรงบันดาลใจของ Château Haut-Brion, และไอคอนระดับโลกอย่าง Armand de Brignac Brut Gold ที่เปล่งประกายทั้งในแก้วและในประวัติศาสตร์ของ Champagne
เราได้รวบรวมไวน์ที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแหล่งผลิต พร้อมให้คุณสัมผัสความหลากหลายที่แท้จริงของโลกไวน์อย่างมีรสนิยม
1. Orma by Tenuta Sette Ponti Bolgheri IGT
Tenuta Sette Ponti คือหนึ่งในผู้ผลิตไวน์ที่น่าจับตามองที่สุดของอิตาลี โดยเจ้าของคือ Antonio Moretti Cuseri นักออกแบบผู้เปี่ยมด้วยรสนิยม ที่หลงใหลในโลกของไวน์พอ ๆ กับแฟชั่น เขาตัดสินใจบุกเบิกพื้นที่ Bolgheri — แคว้นที่ถือเป็นบ้านของ Super Tuscan ชั้นนำระดับโลก เพื่อสร้างไวน์ที่สะท้อนทั้งความกล้าและความสง่างาม
"Orma" ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า “รอยเท้า” และเป้าหมายของ Moretti คือการสร้าง "รอยเท้า" แห่งคุณภาพในโลกของ Bolgheri ด้วยไวน์ที่เทียบชั้นระดับโลก แต่ยังคงความมีเอกลักษณ์ของไร่องุ่นอิตาลีอย่างเต็มเปี่ยม Orma เปิดตัวครั้งแรกในปี 2005 และได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ไวน์ระดับโลกทันที เช่น Wine Advocate, James Suckling และ Wine Spectator
คาแรกเตอร์เด่น:
✔ เป็น Super Tuscan ที่เทียบชั้น Bordeaux ได้อย่างภาคภูมิ – Orma ประกอบด้วย Merlot, Cabernet Sauvignon และ Cabernet Franc จากไร่องุ่นในโซน Bolgheri ที่มีดินผสมกรวดและทราย เหมาะกับการสร้างไวน์ทรงพลัง
✔ รสชาติเข้มข้นและสง่างาม – กลิ่นหอมของแบล็กเบอร์รี่ ดาร์กเชอร์รี่ โกโก้ วานิลลา และสไปซ์จากการบ่มในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศส มอบความซับซ้อนและลึกซึ้ง
✔ บอดี้แน่น โครงสร้างดี แทนนินเนียนละเอียด – สัมผัสแรกบนลิ้นเต็มไปด้วยพลัง และปิดท้ายด้วยความยาวนานนุ่มละมุน
✔ เหมาะกับทั้งการดื่มในวันนี้ และการบ่มต่ออีก 8–10 ปี – เพื่อให้ได้รสสัมผัสที่กลมกล่อมและลุ่มลึกยิ่งขึ้น
2. Clarendelle Saint-Emilion Red
Clarendelle คือไวน์ที่ได้รับการสร้างสรรค์โดย Prince Robert of Luxembourg แห่งตระกูล Dillon ซึ่งเป็นเจ้าของ Château Haut-Brion — หนึ่งใน Premier Grand Cru Classé อันยิ่งใหญ่ของบอร์กโดซ์
Clarendelle ถือกำเนิดขึ้นภายใต้แนวคิดที่ต้องการให้ "รสชาติของความหรูหราในแบบ Haut-Brion" เข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน ด้วยความร่วมมือของทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Domaine Clarence Dillon และการเลือกสรรองุ่นจากแหล่งปลูกชั้นเยี่ยมทั่วบอร์กโดซ์อย่างพิถีพิถัน
Clarendelle Saint-Emilion คือไวน์แดงที่สะท้อนตัวตนของดินแดน Saint-Émilion ได้อย่างงดงาม — ทั้งความกลมกล่อม ความลุ่มลึก และกลิ่นหอมอันมีเสน่ห์ในแบบ Right Bank
คาแรกเตอร์เด่น:
✔ Blend สไตล์ Saint-Émilion แท้ ๆ – ใช้ Merlot เป็นแกนกลาง ผสานด้วย Cabernet Franc และ Cabernet Sauvignon สร้างความกลมกล่อมและความซับซ้อนที่สมดุล
✔ กลิ่นหอมมีเสน่ห์ของผลไม้สีเข้มและเครื่องเทศ – ทั้งแบล็กเชอร์รี่ พลัม สะระแหน่ วานิลลา และกลิ่นโอ๊กอบอุ่นจากการบ่ม
✔ รสสัมผัสเนียนนุ่มและบาลานซ์ – โครงสร้างแทนนินละเอียด สไตล์ดื่มง่ายแต่ยังคงความลึกแบบ Right Bank Bordeaux
✔ ผลิตภายใต้การดูแลของทีม Château Haut-Brion – เพื่อความแม่นยำด้านคุณภาพและสไตล์ในทุกวินเทจ
3. Armand de Brignac Brut Gold
Armand de Brignac หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Ace of Spades” คือแบรนด์แชมเปญระดับไฮเอนด์จากบ้าน Cattier ที่มีประวัติศาสตร์การทำแชมเปญมายาวนานกว่า 250 ปี ณ หมู่บ้าน Chigny-les-Roses ในแคว้น Champagne
แต่สิ่งที่ทำให้ Armand de Brignac โดดเด่นเหนือแบรนด์อื่น ๆ คือวิสัยทัศน์ของ Jean-Jacques และ Alexandre Cattier ผู้ต้องการรังสรรค์แชมเปญที่ “เป็นมากกว่าเครื่องดื่ม” — มันคืองานศิลปะระดับโลกในทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ขวดโลหะเคลือบทอง เฮาส์สัญลักษณ์โพดำ ไปจนถึงการผลิตที่จำกัดเพียงไม่กี่พันขวดต่อปี และได้รับการบรรจุด้วยมือทีละขวดในห้องใต้ดินโบราณลึกใต้ดินกว่า 30 เมตร
Armand de Brignac Brut Gold คือรุ่น Flagship ที่ทั่วโลกยอมรับทั้งในแง่คุณภาพและสไตล์ — ได้รับเลือกจากเหล่าคนดัง ดารา และนักชิมไวน์ในระดับสากล
คาแรกเตอร์เด่น:
✔ แชมเปญสาย Prestige Cuvée ที่ผลิตแบบ “Méticuleux” – ทุกขั้นตอนทำด้วยมือ โดยทีมงานเพียง 18 คน ตั้งแต่เก็บเกี่ยวถึงบรรจุขวด
✔ Blend พิเศษจากองุ่น 3 สายพันธุ์ – Chardonnay, Pinot Noir และ Pinot Meunier อย่างสมดุลในสัดส่วนที่เปลี่ยนไปตามวินเทจ
✔ กลิ่นหอมซับซ้อนและหรูหรา – ทั้งผลไม้แห้ง แพร์สุก บริยอช วานิลลา และโน้ตของเฮเซลนัท อัลมอนด์ และมะเดื่อ
✔ เนื้อสัมผัสเนียน ฟองละเอียด – รสชาติหรูหรา นุ่มลึก มีมิติ ทั้งความสดชื่นของ citrus และความอบอุ่นจากการบ่ม
4. Chateau Latour A Pomerol 2018
Château Latour à Pomerol คือหนึ่งในอัญมณีแห่งชุมชน Pomerol บนฝั่งขวาของบอร์กโดซ์ ที่แม้จะไม่ได้รับการจัดอันดับ Grand Cru อย่างทางฝั่งซ้าย แต่ชื่อเสียงและความน่าหลงใหลของไวน์จากที่นี่กลับครองใจนักสะสมและนักดื่มทั่วโลกมาหลายทศวรรษ
ไร่นี้มีประวัติย้อนไปถึงศตวรรษที่ 19 และกลายเป็นตำนานเมื่ออยู่ภายใต้การดูแลของ Jean-Pierre Moueix — ชื่อเดียวกันกับผู้สร้างความสำเร็จให้กับ Petrus และ La Fleur-Pétrus ด้วยปรัชญาที่เน้น "ความลุ่มลึกในความนุ่มนวล" Château Latour à Pomerol จึงถือเป็นไวน์ที่แสดงศักยภาพของ Merlot ได้อย่างสง่างาม เป็นตัวแทนของไวน์ Pomerol ที่หรูหราแต่ไม่โอ้อวด
คาแรกเตอร์เด่น:
✔ Merlot ที่ทรงพลังแต่สง่างาม – สัดส่วน Merlot มากกว่า 90% ผสานเล็กน้อยของ Cabernet Franc ทำให้ไวน์กลมกล่อม มีเนื้อสัมผัสแน่นแต่เนียนละเอียด
✔ กลิ่นหอมอันหรูหราและซับซ้อน – ผลไม้ดำสุก (แบล็กเบอร์รี่, ลูกพรุน), ช็อกโกแลต, กาแฟคั่ว, เครื่องเทศ และกลิ่นไม้โอ๊กใหม่อย่างกลมกลืน
✔ รสสัมผัสแน่นแต่นุ่มละมุน – แทนนินละเอียดแต่มีโครงสร้างดีเยี่ยม พร้อมความยาวของรสชาติที่อยู่ในปากได้นาน
✔ ศักยภาพในการบ่มยาวนาน – สามารถเก็บได้อีก 15–25 ปี และจะพัฒนาเลเยอร์รสชาติอย่างงดงามเมื่อเวลาผ่านไป
5. Felton Road Pinot Noir Cornish Point
Felton Road คือหนึ่งในผู้บุกเบิกไวน์ระดับโลกจาก Central Otago แคว้นตอนใต้สุดของนิวซีแลนด์ ที่ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในแหล่งผลิต Pinot Noir ชั้นเยี่ยมของโลก
ไร่องุ่น Cornish Point Vineyard ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Dunstan ซึ่งมีอิทธิพลของลมเย็นและอุณหภูมิที่ผันผวน ทำให้ได้ผลผลิต Pinot Noir ที่มีความเข้มข้นแต่ไม่สูญเสียความสง่างาม Felton Road ยึดมั่นในแนวทาง biodynamic และการผลิตที่เป็นธรรมชาติ โดยไม่ใช้การกรองหรือการปรับแต่งใด ๆ เพื่อถ่ายทอดบุคลิกของ terroir ออกมาอย่างบริสุทธิ์
ไวน์รุ่น Cornish Point จึงเป็นผลงานที่สะท้อนทั้งความประณีต และพลังจากผืนดิน Central Otago อย่างงดงาม
คาแรกเตอร์เด่น:
✔ กลิ่นหอมโดดเด่นและซับซ้อน – โน้ตของเชอร์รี่แดง ลูกพลัมสด ดอกกุหลาบแห้ง พร้อมกลิ่นเครื่องเทศเบา ๆ และดินป่า
✔ รสสัมผัสสดชื่นแต่ลุ่มลึก – ความเป็นกรดสดที่ช่วยตัดผ่านเนื้อไวน์ กลมกล่อมแต่มีโครงสร้างที่แน่นละเอียด
✔ แทนนินเนียนและบาลานซ์สูง – มอบประสบการณ์การดื่มที่นุ่มละมุน แต่ไม่ขาดพลังและความยาวของรสชาติ
✔ ไวน์ที่มีเสน่ห์และความเป็นธรรมชาติ – เหมาะทั้งกับการจิบในโอกาสพิเศษ หรือเสิร์ฟคู่กับอาหารฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอาหารไทยที่มีรสชาติละเอียดอ่อน
6. Castello di Fonterutoli Castello Fonterutoli Chianti Classico Gran Selezione DOCG
Castello di Fonterutoli คือหนึ่งในคฤหาสน์ไวน์ที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลที่สุดของ Chianti Classico ซึ่งอยู่ในครอบครัว Mazzei มาตั้งแต่ปี 1435 — นับรวมกว่า 600 ปีของความต่อเนื่องและความเชี่ยวชาญในโลกของไวน์
ไร่องุ่นตั้งอยู่ที่ Castellina in Chianti ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในจุดสูงสุดของภูมิภาค ทั้งด้านความสูงจากระดับน้ำทะเลและด้านคุณภาพของ terroir ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความซับซ้อนและอายุของไวน์
รุ่น Gran Selezione นี้คัดสรรเฉพาะองุ่น Sangiovese ที่ดีที่สุดจากแปลงเก่าอายุเฉลี่ยกว่า 20 ปี ผ่านการหมักและบ่มอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างสรรค์ไวน์ที่เปี่ยมด้วยพลัง ความสง่างาม และอัตลักษณ์ของทัสคานีที่แท้จริง
คาแรกเตอร์เด่น:
✔ Sangiovese แบบ 100% สุดคลาสสิก – คัดเฉพาะองุ่นคุณภาพสูงจากแปลงที่ดีที่สุดในไร่
✔ กลิ่นหอมเข้มข้นและซับซ้อน – เชอร์รี่ดำ แบล็คเบอร์รี่ แฝงกลิ่นใบยาสูบ แร่ธาตุ และโอ๊กชั้นดี
✔ โครงสร้างแน่น แทนนินสง่างาม – บาลานซ์เยี่ยม พร้อมความสดชื่นจากกรดธรรมชาติสูง
✔ บ่ม 18 เดือนใน French oak barrel – เสริมมิติ กลิ่นหอมวานิลลา และสัมผัสแสนละเมียด
7. Robert Mondavi Napa Valley Red Blend
Robert Mondavi คือบุคคลผู้ถูกยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งไวน์อเมริกันยุคใหม่” ผู้ก่อตั้งแบรนด์ในปี 1966 ด้วยวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัยว่า “Napa Valley จะกลายเป็นหนึ่งในแหล่งไวน์ระดับโลกได้ไม่แพ้ฝรั่งเศส”
ด้วยการผสานนวัตกรรมด้านการหมัก การบ่ม และความเชื่อมั่นในคุณภาพของดินฟ้าอากาศแห่ง Napa เขาได้เปลี่ยนโฉมหน้าของวงการไวน์แคลิฟอร์เนียไปตลอดกาล
ไวน์รุ่นนี้คือ “Red Blend” ที่รวบรวมความโดดเด่นจากองุ่นหลากสายพันธุ์ที่ปลูกใน Napa Valley โดยเฉพาะ Cabernet Sauvignon, Merlot และ Petit Verdot จากแปลงองุ่นชั้นดี เช่น Oakville, Rutherford และ Stag’s Leap District เพื่อแสดงศักยภาพของหุบเขานี้อย่างเต็มที่
คาแรกเตอร์เด่น:
✔ สไตล์ Napa Valley ที่เข้มข้นแต่ดื่มง่าย – รวมความนุ่มของ Merlot กับโครงสร้างของ Cabernet Sauvignon และความลึกของ Petit Verdot
✔ กลิ่นหอมเข้มของผลไม้สีเข้มและเครื่องเทศ – แบล็คเชอร์รี่ พลัม โกโก้ และวานิลลา จากการบ่มในถังโอ๊ก
✔ แทนนินแน่นแต่เนียนนุ่ม – ดื่มง่ายแต่มีมิติ เหมาะกับทั้งนักดื่มเริ่มต้นและนักสะสม
✔ หนึ่งใน Red Blend ที่สะท้อนตัวตนของ Napa Valley อย่างชัดเจน – บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์และคุณภาพในสไตล์อเมริกัน
8. Cordero Di Montezemolo Langhe Nebbiolo DOC
Cordero di Montezemolo คือหนึ่งในตระกูลไวน์เก่าแก่ของแคว้น Piedmont แห่งอิตาลี ซึ่งมีประวัติย้อนไปถึงปี 1340 และถือเป็นหนึ่งในผู้นำของไวน์ระดับ Barolo ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
แหล่งผลิตของไวน์รุ่นนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ La Morra หนึ่งในทำเลทองของ Barolo โดยเน้นการใช้ องุ่น Nebbiolo 100% จากแปลงองุ่นของตนเองในเขต Langhe ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “ไวน์น้องสาว” ของ Barolo – ดื่มง่ายกว่า เข้าถึงเร็วกว่า แต่ยังคงความสง่างามตามแบบฉบับ Nebbiolo
Langhe Nebbiolo ของ Montezemolo จึงเป็นประตูสู่โลกของ Barolo ที่เข้าถึงง่าย แต่ยังคงเต็มไปด้วยเรื่องราวของภูมิประเทศและตระกูลไวน์ระดับตำนาน
คาแรกเตอร์เด่น:
✔ กลิ่นหอมของกุหลาบแห้ง เชอร์รี่ และสไปซ์เบา ๆ – แสดงเอกลักษณ์ของ Nebbiolo ได้อย่างชัดเจน
✔ รสสัมผัสนุ่มละมุนกว่า Barolo – โครงสร้างเบากว่าแต่ยังมีความลึก ให้ความรู้สึกเหมือน Barolo รุ่นหนุ่มที่กำลังจะโตเต็มที่
✔ แทนนินละเอียด และกรดที่สดชื่น – เหมาะสำหรับการดื่มเดี่ยว หรือจับคู่กับอาหารหลากหลาย เช่น พาสต้าเห็ดทรัฟเฟิล, คาร์ปาชโชเนื้อ, หรือยำเนื้อไทยรสจัด
✔ ดื่มได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอการบ่มยาวนาน – เหมาะสำหรับนักดื่มที่อยากสัมผัสเสน่ห์ของ Nebbiolo โดยไม่ต้องรอเป็นสิบปีเหมือน Barolo
9. Luca & La Posta by Laura Catena Luca Old Vine Malbec
Luca คือโครงการไวน์สุดพิเศษของ ดร. Laura Catena — ทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูล Catena Zapata หนึ่งในผู้บุกเบิกวงการไวน์อาร์เจนตินาที่มีชื่อเสียงระดับโลก ดร.ลอร่าไม่เพียงเป็นนักวิทยาศาสตร์และคุณหมอจาก Harvard แต่ยังหลงใหลใน “terroir” และศักยภาพของไร่องุ่นเก่าใน Mendoza จนก่อตั้งแบรนด์ Luca เพื่อแสดงออกถึง “ความรักในไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น”
ไวน์ Luca Old Vine Malbec ผลิตจากองุ่นที่มีอายุมากกว่า 50 ปี จากไร่ Gualtallary และ La Consulta ซึ่งเป็นโซนระดับสูงใน Uco Valley — แหล่งปลูกที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของอาร์เจนตินา
คาแรกเตอร์เด่น:
✔ ใช้องุ่น Malbec จากไร่เก่า (Old Vine) – ให้ผลผลิตน้อยแต่เข้มข้น ให้รสที่ลึกและมีมิติพิเศษ
✔ กลิ่นหอมเข้มข้นของบลูเบอร์รี่ พลัมดำ และโกโก้ – เสริมด้วยโน้ตของวานิลลาและเครื่องเทศจากการบ่มใน French Oak
✔ รสสัมผัสนุ่มแน่น แต่เนียนลิ้น – โครงสร้างดี แทนนินกลมกล่อม พร้อมความยาวของรสที่ประทับใจ
✔ ไวน์ที่บอกเล่าเรื่องราวของ “หญิงผู้เปลี่ยนแปลงอาร์เจนตินา” – Luca ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ไวน์ แต่คือสัญลักษณ์ของความกล้าฝ่ากรอบเดิม เพื่อพิสูจน์ว่าอาร์เจนตินาก็ผลิตไวน์ระดับโลกได้
10. Marques De Riscal Reserva, DOC Rioja
ก่อตั้งขึ้นในปี 1858 โดย Guillermo Hurtado de Amézaga ในเขต Rioja Alavesa — Marqués de Riscal คือหนึ่งในผู้บุกเบิกที่ทำให้ไวน์ Rioja กลายเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ทันสมัย เขานำเทคนิคการทำไวน์จาก Bordeaux มาใช้ พร้อมทั้งเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ใช้ถังโอ๊กฝรั่งเศสในสเปน และยังเป็น House แห่งแรกที่ได้รับการบันทึกว่า “บ่มไวน์เป็นระยะเวลานานแบบ Reserva อย่างมีระบบ”
Marqués de Riscal ไม่เพียงมีชื่อเสียงด้านไวน์ แต่ยังโดดเด่นด้านการออกแบบ — โรงบ่มไวน์ City of Wine ที่ออกแบบโดย Frank Gehry กลายเป็นแลนด์มาร์กของ La Rioja ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากไปสัมผัส
คาแรกเตอร์เด่น:
✔ ผลิตจากองุ่น Tempranillo และ Graciano อายุกว่า 30 ปี – มอบกลิ่นผลไม้สีเข้มที่หอมลึกและมีเสน่ห์
✔ บ่มในถังโอ๊กอเมริกันอย่างน้อย 2 ปี และพักขวดเพิ่มอีก – ให้โครงสร้างนุ่มแน่น หอมกลิ่นวานิลลา อบเชย และเครื่องเทศเบา ๆ
✔ รสชาติกลมกล่อมและสมดุลแบบ Rioja ดั้งเดิม – มีโน้ตของเชอร์รี่ดำ แบล็กเคอร์แรนต์ หนัง และไม้โอ๊ก
✔ เหมาะกับทุกโอกาส – เป็นหนึ่งใน Rioja Reserva ที่ทั้งนักสะสมและผู้ดื่มไวน์มือใหม่ให้การยอมรับ