5 นาทีกับคัมภีร์ Sparkling Wine (สปาร์คกลิ้งไวน์)
ถ้าพูดถึงราชาแห่ง Sparkling Wine (สปาร์คกลิ้งไวน์) คงจะหนีไม่พ้น Champagne (แชมเปญ) เครื่องดื่มที่ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักและเรียกกันติดปากอย่างแน่นอน...แต่จริง ๆ แล้วในโลกของ Sparkling Wine มีมากกว่านั้น เพราะ Sparkling Wine เป็นเครื่องดื่มที่ถูกผลิตขึ้นทั่วโลก และแม้ว่าจะมีวิธีการผลิตที่ใกล้เคียงกัน แต่แต่ละพื้นที่ก็มีคาร์แรคเตอร์ และการใช้พันธุ์องุ่นที่แตกต่างกันด้วย ถ้าอย่างนั้น เพื่อไม่ให้พลาด Sparkling Wine ดี ๆ เรามาดูกันแบบรวดเร็วภายใน 5 นาทีดีกว่าว่า ถ้าอยากเป็นคอ Sparkling Wine แลว จะต้องจับจองตัวไหนมาลองกันบ้างครับ
ประเภทของ Sparkling Wine (สปาร์คกลิ้งไวน์)
1. Champagne (แชมเปญ)
จริง ๆ แล้ว Champagne (แชมเปญ) ก็คือ Sparkling Wine (สปาร์คกลิ้งไวน์) ประเภทหนึ่ง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียก Sparkling Wine ที่ผลิตขึ้นในแคว้น Champagne (ชอมปาล) ประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น Champagne มักทำมาจากองุ่นพันธุ์ Pinot Noir (ปิโนต์ นัวร์), Pinot Meunier (ปิโนต์ เมอนิเยร์) และ Chardonnay (ชาร์ดอนเนย์) หากฉลากบนขวดเขียนว่า “Blanc de Blanc” แปลได้ว่า Champagne ขวดนั้นทำมาจากองุ่นขาวเท่านั้น แต่หากเป็น “Blanc de Noirs” จะผลิตด้วยองุ่นดำเท่านั้น Champagne ที่ท่านควรลองได้แก่ Moet & Chandon จากเครือไฮด์เอนด์ LVMH (Louis Vuitton Moet Hennessy) นั่นเอง
2. Cava (กาวา)
Cava (กาวา) คือ Sparkling Wine (สปาร์คกลิ้งไวน์) จากสเปน ผลิตด้วยกรรมวิธี “Traditional Methods” คือวิธีการบ่มในขวดเช่นเดียวกับ Champagne จึงให้ฟองที่ค่อนข้างละเอียดและนุ่มนวล Cava มักจะมีคาร์แรคเตอร์ที่ Dry (ไม่หวาน) ให้รสสัมผัสคล้ายแอบเปิ้ลเขียว และผลิตโดยใช้พันธุ์องุ่นในท้องถิ่นเช่น Xarel-lo (ซาเรลโลโล่), Macabeo (มากาเบโอ), Parellada (ปาเรลยาดา) และ Chardonnay (ชาร์ดอนเนย์) Cava ที่ท่านควรลองได้แก่ Freixenet Cordon Negro Brut ครับ
3. Prosecco (โปรเซคโก้)
Prosecco (โปรเซคโก้) คือ Sparkling Wine ขึ้นชื่อจากประเทศอิตาลี มักจะผลิตโดยใช้กรรมวิธี “Charmat Method” หรือ “Tank Method” ซึ่งก็คือการบ่มครั้งที่สองในถัง แทนที่จะบ่มในขวด และใช้แรงดันบรรจุไวน์ลงขวดในภายหลัง ดังนั้นฟองของ Prosecco จึงใหญ่และหยาบกว่า แต่จุดเด่นของ Prosecco คือสัมผัสอันชุ่มฉ่ำของผลไม้ และรสที่ค่อนข้างหวานครับ Prosecco ที่เราแนะนำได้แก่ Villa Sandi Prosecco Spumante ซึ่งมีรสสัมผัสสดชื่น หอมหวานผลไม้สุก และกลิ่นดอกไม้ป่า ช่วยเติมเต็มความสดใสได้เป็นอย่างดี
4. American Sparkling Wine
ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ Napa Valley (นาป้า วัลเลย์) รัฐ California (แคลิฟอร์เนีย) ผู้ผลิต Sparkling Wine มักจะได้รับอิทธิพลการผลิตมาจาก Champagne และนอกจากนั้น Champagne House ชื่อดังเช่น Moet & Chandon ก็ยังขยายฐานการผลิตมายังประเทศนี้อีกด้วย เพียงแต่ต่างกันตรงที่ Sparkling Wine จากสหรัฐอเมริกาจะมีคาร์แรคเตอร์ที่หลากหลายมากกว่า ตั้งแต่ Dry (ไม่หวาน) แบบ Champagne จนถึงหอมหวานสดชื่นแบบ Prosecco ไปเลยก็มี
5. Australia Sparkling Wine
ไวน์แดงจากองุ่นพันธุ์ Shiraz (ชีราส) คือไวน์ขึ้นชื่อของประเทศออสเตรเลีย แต่จริง ๆ แล้ว Sparkling Wine ชื่อดังมากมายก็ถูกผลิตขึ้นในประเทศนี้ด้วย โดยเฉพาะเขต Victoria’s Yarra Vallay (วิคตอเรีย ยาร์รา วัลเลย์) ซึ่งมีภูมิอากาศคล้ายคลึงกับแคว้น Champagne ประเทศฝรั่งเศสเลยทีเดียว Winery ชื่อดังจึงมักจะมาจับจองพื้นที่นี้ผลิต Sparkling Wine และหนึ่งในนั้นก็คือ Chandon แบรนด์ลูกของ Moet & Chandon ซึ่งก็ไม่ได้มีดีแค่ชื่อ แต่พกเอากระบวนการการผลิตแบบเดียวกันเป๊ะ ๆ มาด้วย เรียกได้ว่าเราสามารถคาดหวังรสสัมผัสแบบ Champange จาก Chandon ได้แบบไม่ผิดหวังเลยครับ
วิธีการอ่านระดับความหวานของ Sparkling Wine
เราสามารถอ่านระดับความหวานของ Sparkling Wine (สปาร์คกลิ้งไวน์) ที่ระบุอยู่บนฉลากได้ จากการเรียนรู้คำศัพท์เหล่านี้
1. Extra Brut = Very Dry (ไม่หวาน)
2. Brut = Very Dry (ไม่หวาน) - Dry (หวานน้อย)
3. Extra-Sec หรือ Extra-Dry = Dry (หวานน้อย) - Medium Dry (ค่อนข้างหวาน)
4. Sec = Medium Dry (ค่อนข้างหวาน)
5. Demi-Sec = Sweet (หวาน)
6. Doux = Luscious หรือ Super-Sweet (หวานมาก)
วิธีการเลือกแก้วไวน์สำหรับ Sparkling Wine
แก้ว Champagne Flute (แชมเปญฟรูท) คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเสิร์ฟ Sparkling Wine (สปาร์คกลิ้งไวน์) เพราะด้วยดีไซน์ทรงเพรียวสูง ทำให้เราได้เพลิดเพลินกับพรายฟองที่ลอยขึ้นมาจากก้นแก้ว นอกจากนั้น รูปทรงของแก้วยังช่วยกักเก็บความเย็นของ Sparkling Wine ได้ดีอีกด้วย ส่วน Sparkling Wine ที่มีรสสัมผัสค่อนไปทาง Extra-Sec (ค่อนข้างหวาน) จนถึง Doux (หวานมาก) แนะนำแก้วไวน์ Tulip-Shaped (ทรงทิวลิป) เพราะจะช่วยปลดปล่อย Aroma หอมหวานและทำให้เราสัมผัสกับรสของไวน์ดีขึ้น
การเปิด Sparkling Wine แบบ Step by Step
เสียงป็อบ!! และฟองที่พวยพุ่งออกจากปากขวด คือเสน่ห์ของเครื่องดื่มอย่าง Champagne (แชมเปญ) หรือ Sparkling Wine (สปาร์คกลิ้งไวน์) ใช่ไหมครับ? แต่นั่นก็เป็นสาเหตุให้ใครหลายคนกลัวการเปิด Sparkling Wine ไปโดยปริยาย ดังนั้นเราจะมาเรียนรู้วิธีการแบบ Step-by-Step กันเลย
1. สเต็ปแรกคือ “อย่ากลัว” ใจเย็น ๆ เข้าไว้
2. ค่อย ๆ แกะฟอยล์ที่หุ้มปากขวดออก แล้วคุณจะพบขดลวดที่อยู่ด้านใน ซึ่งปิดจุกคอร์กเอาไว้อีกที
3. คลายขดลวดที่อยู่ด้านในออก พยายามกดจุกคอร์กเอาไว้ตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้แรงดันภายในขวดดันจุกคอร์กหลุดกระเด็นออกไป
4. ใช้มือข้างที่ถนัดจับขวดไวน์โดยหันปากขวดออกนอกตัว และก้นขวดรองไว้ที่เอวหรือต้นขา ส่วนมืออีกด้านจับจุกคอร์กเอาไว้
5. ใช้มือข้างถนัด (ข้างที่จับขวด) ค่อย ๆ บิดขวดไปมาจนกระทั่งจุกคอร์กหลุดออกจากขวด
6. เตรียมแก้วไวน์ใบโปรดแล้วเสิร์ฟได้เลย
จบกันไปแล้วกับ 5 นาที คัมภีร์สู่ Sparkling Wine (สปาร์คกลิ้งไวน์) เพียงเท่านี้ท่านก็พร้อมสำหรับการลอง Sparkling Wine ใหม่ ๆ ได้แล้ว หากกำลังร้อนวิชาและมองหา Sparkling Wine อยู่ล่ะก็ ท่านสามารถเข้าไปเลือกชมได้ที่เว็บไซต์ Wine-now.asia ของเรา พร้อมทั้งโปรโมชั่นมากมายอีกด้วยนะครับ
คลิ๊ก! เพื่อเลือกชม Sparkling Wine ทั้งหมด