ประวัติของ Castello Banfi

ในปี ค.ศ. 1984 Castello Banfi (คาสเตลโล่ บานฟิ) ได้ซื้อที่ดิน 2,600 เอเคอร์ (ประมาณ 6,500 ไร่) ซึ่งบนที่ดินนี้มีปราสาทหินหลังใหญ่ จากสมัยศตวรรษที่ 12 รวมอยู่ด้วย โดยปราสาทหินหลังนี้ได้กลายเป็นโรงผลิตไวน์ที่ทันสมัย เป็นที่พักสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน และยังเป็นสัญลักษณ์ของบริษัท Castello Banfi ในปัจจุบัน

สำหรับวินเทจปีแรกๆ Castello Banfi ได้มี Ezio Rivella (เอซิโอ้ ริเวลล่า) เป็นที่ปรึกษาด้านการผลิตไวน์ อย่างไวน์ "Brunello di Montalcino 1978" ก็ได้เลือกใช้ วิธีการผลิตแบบดั้งเดิม (Traditionally Styled) ที่มีการเก็บบ่มไวน์ในถังไม้ Slavonian Oak (ถังสลาโวเนียน โอ๊ก) ขนาดใหญ่เป็นเวลานานถึง 4 ปี แต่นับจากวินเทจ 1990 จนถึงปัจจุบัน ก็ได้เปลี่ยนมาเป็น วิธีการผลิตแบบสมัยใหม่ (Modern Interpretations) โดยนำเอาถัง Barrique (ถังไม้บาร์ริค) มาใช้ในการบ่มครับ

นอกจากผลิตไวน์แล้ว Castello Banfi ก็ได้ทำการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งเมืองมิลาน (University of Milan) สร้างโครงการวิจัยและพัฒนาองุ่นพันธุ์ Sangiovese (ซานโจเวเซ่) เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่ดีที่สุดที่จะนำมำไวน์ โดยโครงการนี้ ได้ทำการเก็บรวมรวมสายพันธุ์ต่างๆ ขององุ่น Sangiovese (ซานโจเวเซ่) มากกว่า 650 สายพันธุ์ ทั้งที่เป็นสายพันธุ์แท้ และสายพันธ์ผสม

ซึ่งโครงการนี้ได้เกิดประโยชน์ต่อผู้ผลิตไวน์ระดับชุมชนเป็นอย่างมาก เพราะผู้ผลิตไวน์ได้นำเอาผลการวิจัยไปพัฒนาไวน์ "Brunello di Montalcino" ให้มีคุณภาพที่สุด 

โดยหากพูดถึงความสำเร็จของ Castello Banfi คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า คือ การสร้างไวน์ที่สมบูรณ์แบบจากองุ่น Sangiovese (ซานโจเวเซ่) ที่ส่งผลให้มีผู้ผลิตและนักลงทุนสนใจมาปลูกองุ่นทำไวน์ที่นี่เป็นจำนวนมาก อย่างในปัจจุบันก็ได้มีผู้ผลิตไวน์ Brunello di Montalcino มากกว่า 250 แบรนด์เลยทีเดียวครับ

ทั้งนี้ไวน์ Castello Banfi ยังเป็นที่ยอมรับของนักวิจารณ์ไวน์ โดยเฉพาะไวน์ในกลุ่ม Brunello Di Montalcino กับ Chianti ซึ่งได้รับคะแนนอยู่ในระดับ 80+ มาโดยตลอด ถือเป็นไวน์อิตาลีที่เราต้องหามาลองชิมให้ได้สักครั้งครับ